วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2562

บทที่ 5 วัฏจักรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้

(Knowledge Management Systems Life Cycle)

เปรียบเทียบระหว่าง  CLSC และ KMSLC




Conventional System Life Cycle วงจรชีวิตการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิม
          1.Recognition of Need and Feasibility Study การกำหนดความต้องการของระบบ
          2.Functional Requirements Specifications กำหนดคุณสมบัติความต้องการ การทำงานของระบบ
          3.Logical Design (master design plan) การออกแบบเชิงตรรกะของระบบทั้งหมด(ในกระดาษ)
          4.Physical Design (coding) การออกแบบเชิงกายภาพ(การสร้างระบบขึ้นมาเอง)
          5.Testing การทดสอบระบบ
          6.Implementation (file conversion, user training) การนำระบบไปใช้งาน
          7.Operations and Maintenance การดำเนินงานและบำรุงรักษา

KM System Life Cycle วงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้
          1.Evaluate Existing Infrastructure การประเมินโครงสร้างพื้นฐานของระบบที่มีอยู่
          2.Form the KM Team  การจัดตั้งทีมงานจัดการความรู้
          3.Knowledge Capture การรวบรวมความรู้มาเก็บไว้เพื่อที่จะเอาข้อมูลความรู้เหล่านี้เข้าสู่ระบบ
          4.Design KMS Blueprint  การออกแบบพิมพ์เขียวของการจัดการความรู้
          5.Verify and validate the KM System การสร้างระบบขึ้นมา แล้วตรวจสอบว่าระบบมีความเหมาะสมหรือไม่  
           Verify  แปลว่า ระบบทำงานได้เหมาะสมกับผู้ใช้หรือไม่
            Validate แปลว่า การตรวจสอบว่าระบบทำงานได้ถูกต้องหรือป่าว เช่น ให้คำนวณและได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
          6.Implement the KM System การเอาระบบ KM ไปใช้
          7.Manage Change and Rewards Structure การจัดการของการเปลี่ยนแปลงและขั้นตอนการของการให้รางวัล
          8.Post-system evaluation  การประเมินผลหลังจากที่เอาระบบไปใช้แล้ว

Key Differences ความแตกต่างที่สำคัญของระบบทั้ง 2 แบบ
          1.นักวิเคราะห์ระบบมีการจัดการกับสารสนเทศจากผู้ใช้ ส่วนนักพัฒนาความรู้จะจัดการความรู้ที่มาจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
          2.ผู้ใช้ รู้ปัญหาแต่ไม่รู้ทางแก้ แต่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจะรู้ทั้งปัญหาและทางแก้ไข
          3.วงจรการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิมSLC โดยทั่วไปจะประกอบด้วยขั้นตอนการเรียงลำดับแต่ถ้า KM SLC การพัฒนาแบบเพิ่มพูลคือการเพิ่มไปทีละส่วนทีละส่วนและมีลักษณะการโต้ตอบ
          4.การทดสอบระบบโดยปกติแล้วจะกระทำในขั้นตอนสุดท้ายของวงจรแต่ถ้าเป็น KM System จะเข้าไปเกี่ยวของการทดสอบตั้งแต่เริ่มต้นของวงจรการพัฒนาระบบ
          5.การพัฒนาระบบแบบดั้งเดิมขับเคลื่นด้วยกระบวนการ หรือ เรียกอีกคำว่า มีการกำหนดความต้องการเสร็จแล้วสร้างมันขึ้นมา แต่  KM System วงจรชีวิตของ KM จะมุ่งเน้นถึงผลลัพธ์ จะต้องได้ระบบแบบนี้ขึ้นมาใช้ มีการเริ่มต้นแบบช้าๆแต่เติบโตไปเรื่อยๆ

Key Similarities ข้อเหมือนกันที่สำคัญของ 2 ระบบ
          1.ทั้ง 2 ระบบเริ่มต้นจากปัญหาและไปจบที่ทางแก้
          2.ทั้งสองระบบเริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมสารสนเทศ
          3.การทดสอบมีความสำคัญเหมือนกันเพื่อให้แน่ใจว่าระบบทำงานได้ถูกต้องได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง มันเป็นระบบที่เหมาะสม
          4.ผู้พัฒนาระบบทั้ง 2 แบบมักจำเลือกเครื่องมือที่เหมาะหลายๆเครื่องมือมาใข้การออกแบบระบบที่คาดหวังหรือระบบที่ต้องการ

Knowledge Management Systems Life Cycle



1.Evaluate Existing Infrastructure การประเมินโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่  ได้แก่
          1.มีความรู้อะไรไหมที่มันจะหายไปจากการเกษียณอายุ หรือการเปลี่ยนหน่วยงาน หรือการออกจากที่ทำงานที่เดิมไปอยู่ที่ทำงานใหม่
          2.ระบบ KM ที่นำมาเสนอต้องเอามาใช้ในหลายๆฝ่ายหรือไม่
          3.ผู้เชี่ยวชาญมีอยู่เพียงพอหรือป่าวมีความตั้งใจที่อยากจะช่วยในการสร้างระบบ Km ขึ้นหรือป่าว
          4.ปัญหาต่างๆที่ต้องการคำตอบต้องใช้เวลาหลายปีในการตอบหรือป่าว
2.Form the KM Team การจัดตั้งทีมงานจัดการความรู้
          1.ทีมจะประสบความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับความสามารถของคนในทีม
          2.ขนาดของทีม ที่จะประสบความสำเร็จต้องมี 7 คน
          3.ความซับซ้อนของโครงการ
          4.ภาวะผู้นำ สามารถสั่งลูกน้องได้และเป็นแรงจูงใจของทีมว่าทีมมีแรงจูงใจมากน้อยขนาดไหน 
          5.ทีมนั้นจะต้องไม่ไปสัญญาอะไรเกินเลยมากไปกว่าสิ่งที่จริงของระบบที่เราจะส่งมอบ
3.Knowledge Capture การรวบรวมความรู้มาเก็บไว้เพื่อที่จะเอาข้อมูลความรู้เหล่านี้เข้าสู่ระบบ
          1.การดึงความรู้จากสื่อที่หลากหลายหรือแหล่งความรู้ต่างๆ
          2.ต้องดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชายองค์กรโดยใช้เครื่องมือที่หลากหลาย
          3.นักพัฒนาระบบจะไปดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อจะนำมาสร้างฐานความรู้
4.Design the KM Blueprint การออกแบบพิมพ์เขียวของการจัดการความรู้
          1.ขอบเขตที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ
          2.มีการตัดสินใจบนองค์ประกอบของความต้องการของระบบ
          3.การพัฒนาระดับชั้นที่สำคัญของสถาปัตยกรรมของระบบ Km
          4.ระบบจะต้องมีความสามารถใช้งานระหว่างโครางสร้างพื้นฐานที่แตกต่างกัน
5.Verify and Validate the KM System การสร้างระบบขึ้นมา แล้วตรวจสอบระบบมีความเหมาะสมหรือไม่
          1.ตรวจสอบความเหมาะสมของระบบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบมีฟังค์ชั่นการทำงานที่ถุกต้องเหมาะสม
          2.วิธีการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบได้ผลลัพธ์การประมวลผลที่ถูกต้อง
          3.ตรวจสอบความผิดพลาดที่ไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อ
6.Implement the KM System การเอาระบบ KM ไปใช้
          1.การนำไปปฏิบัติงานจริงๆในระบบ KM ใหม่และทำได้จริง
          2.การเปลี่ยนข้อมูลให้อยู่ในรูปของข้อมูลหรือไฟล์
          3.การอบรมผู้ใช้งาน
การประกันคุณภาพของระบบ
          1.ความผิดพลาดเชิงเหตุเชิงผล
          2.ตรวจถึงความคุมเครือ
          3.อะไรที่ไม่สมบูรณ์ต้องไปแก้ให้สมบูรณ์
          4.ตรวจความผิดพลาดในลักษณะ false positive  เราตรวจแล้วมันถูกแต่จริงๆแล้วมันผิด มาจากการที่เขียนโปรแกรมผิด false negative เราตรวจแล้วมันให้คำตอบว่าผิดแต่จริงๆแล้วมันถูก
7.Manage Change and Rewards Structure  ชั้นของการนำระบบไปใช้และจัดการเรื่องการให้รางวัล
          1.ต้องการลดแรงต่อต้านจากผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ใช้หรือจากผู้ที่ก่อกวนให้เกิดปัญหา
          2.แรงต้านทานนี้แสดงออกมาจากการโต้ตอบเช่น การกำหนดพาสเวิร์ดที่ไม่ปฏิบัติ (พาสเวิร์ดยุ่งยาก)หรือหลีกเลี่ยง
8.Post-system Evaluation การประเมินผลหลังจากนำระบบไปใช้แล้ว
          1.ประเมินผลกระทบของระบบในแง่ของผลกระทบต่อ บุคคล วิธีการปฏิบัติหรือผลการดำเนินงานของธุรกิจ
          2.ขอบเขตที่เราต้องพิจารณาผลลัพธ์ของการระบบไปใช้ทำให้เราได้ความรู้ในการตัดสินใจได้ดีขึ้น
                    - ต้องใช้การตัดสินใจที่มีคุณภาพทำให้เราแก้ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
                    - ดูจากทัศนคติของผู้ใช้งาน( อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้)
                    - ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากต้นทุน ที่เกิดจากการนำระบบไปใช้และไปประมวลรวมต้นทุนที่เกิดจากการปรับระบบให้ทันสมัยมากขึ้น

สถาปัตยกรรมของระบบ KM



User Interface : จะติดต่อกับ user  จะเห็นระบบเฉพาะส่วน เช่น เว็บเบราว์เซอร์

Authorized access control : การควบคุมสิทธิในการเข้าถึง บางระบบจะต้องผ่านการใส่ password ติดตั้ง Ftrewalls, e.g., security และ authentication

Collaborative intelligence and filtering : การทำงานร่วมกันของตัวแทนความเฉลียวฉลาด หรือตัวที่ดึงข้อมูลที่สำคัญมาใช้งาน

Knowledge-enabling applications : แอปพลิเคชั่นต่างๆที่ใช้ในระบบKM ได้แก่ customized applications, skills directories, videoconferencing, decision support systems,group decision support systems tools

Transport : ชั้นนำส่งข้อมูล จากการปฏิบัติงานจะได้ ประมวลผลความรู้ จะถูกนำส่งไปอีกเครื่องหนึ่ง ผ่านe-mail, Internet/Web site, TCP/IP protocol to manage traffic flow หรือ แสดงออกทางหน้าจอ

Middleware : ซอฟต์แวร์ที่ช่วยทำให้การทำงานของชั้นแอพพลิเคชั่น กับ เครือข่ายสามารถติดต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

The Physical Layer : ชั้นกายภาพจะประกอบไปด้วย แอปพลิเคชั่นรุ่นเก่า เช่น บัญชีเงินเดือน กรุ๊ปแวร์ การแลกเปลี่ยนเอกสาร การทำงานร่วมกัน คลังข้อมูล การล้างข้อมูล data mining

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น